นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารลูกจ้างสัญญาจ้าง ประชุมนัดแรกพิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการ และการบริหาร “ระบบพนักงานราชการ” เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการบริหารบุคลากรภาครัฐ เน้นความคล่องตัว ยืดหยุ่น และจ้างงานได้หลากหลายตามความจำเป็น ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ 16 ธันวาคม 2546 โดยคาดว่าจะสามารถนำมาใช้ได้ทันวันที่ 1 มกราคม 2547
นายสีมา สีมานันท์ เลขาธิการ ก.พ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารงานลูกจ้างระบบสัญญาจ้าง โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฯ ได้ประชุมร่วมกับกรรมการบริหารงานลูกจ้างระบบสัญญาจ้าง ซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักงบประมาณ อัยการสูงสุด กรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานบุคคลอีกหลายท่าน เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการ และการบริหารระบบพนักงานราชการ
“ระบบพนักงานราชการ” นี้ มีที่มาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2546 ที่อนุมัติในหลักการให้ใช้ระบบสัญญาจ้างในการบริหารงานลูกจ้างของส่วนราชการ ตามความจำเป็นในการจ้างงานยุคปัจจุบันที่ต้องการความหลากหลาย ยืดหยุ่น และคล่องตัว เพื่อรองรับการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐแนวใหม่ โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและให้ความเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ พอสรุปได้ดังนี้
1. ที่ประชุมได้ตกลงให้ใช้ชื่อเรียกระบบนี้ว่า
“ระบบพนักงานราชการ” และเรียกบุคลากรผู้ปฏิบัติงานว่า
“พนักงานราชการ”
เพื่อแสดงเกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะบุคลากรภาครัฐ โดยนำมาใช้แทนระบบลูกจ้างประจำหรือภารกิจอื่นตามความจำเป็น
2. พนักงานราชการมี 2 ประเภท คือ (1)
ประเภททั่วไป ได้แก่ กลุ่มงานสนับสนุน ที่ไม่ซ้ำซ้อนกับหน้าที่ของข้าราชการ หรืออาจเป็นงานของข้าราชการได้
แต่ต้องมีระยะเวลาสิ้นสุดตามความจำเป็นและเร่งด่วนของงาน และเป็นงานที่ไม่มีลักษณะการใช้อำนาจตามกฎหมาย
(2) ประเภทพิเศษ ได้แก่งานที่มีลักษณะที่ปรึกษา และงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญระดับสูงพิเศษ 3. การจ้างงานให้ยึดตามหลักขีดสมรรถนะและความสัมฤทธิ์ของผลงาน
กล่าวคือ พนักงานราชการจะมีความมั่นคงในงานตราบที่มีผลงานเป็นที่น่าพอใจและผ่านการประเมิน
ส่วนการจ่ายค่าตอบแทน ก็จะพิจารณาตามผลงานและประสบการณ์ด้วยเช่นกัน 4. จ้างงานด้วยการใช้สัญญา โดยแต่ละสัญญาจะมีวาระไม่เกิน
4 ปีแล้วแต่ภารกิจและลักษณะงาน และสามารถต่อสัญญาได้โดยไม่จำกัดวาระ 5. มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างเข้มข้นเป็นประจำทุกปี
ซึ่งรวมถึงการประเมินประจำปีเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือน การประเมินเพื่อเลิกจ้าง รวมทั้งการประเมินเพื่อต่อสัญญา
6. การเลิกสัญญาสามารถทำได้ใน 2 กรณี คือ (1)
สิ้นสุดสัญญา หรือ (2) ราชการขอเลิกสัญญาก่อนหมดวาระ เนื่องจากพนักงานราชการปฏิบัติงานไม่บรรลุผลตามที่ตกลงไว้ในสัญญา 7. การต่อสัญญาจะกระทำได้เมื่อสัญญายุติแต่ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น
และส่วนราชการยังจำเป็นต้องใช้พนักงานสำหรับภารกิจนั้นต่อไป ทั้งนี้ ส่วนราชการสามารถต่อสัญญาได้จนกว่าภารกิจจะลุล่วงโดยไม่จำกัดวาระ 8. สำหรับอัตราค่าตอบแทนนั้น จะพิจารณาโดยใช้อัตราเงินเดือนขั้นพื้นฐานตามกลุ่มงานของราชการแล้วบวกเงินเพิ่มให้
เพื่อสร้างแรงจูงใจในลักษณะเดียวกับการจ้างงานของภาคเอกชน กล่าวคือ พนักงานราชการจะได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าข้าราชการแต่ได้รับสวัสดิการน้อยกว่า
และมีบัญชีเงินเดือนหลายบัญชีตามลักษณะงาน เช่น งานบริการ หรืองานลักษณะเชี่ยวชาญ
“ขณะนี้ส่วนราชการต่างคาดหวังที่จะนำระบบนี้ไปใช้กันอย่างใจจดใจจ่อ
เนื่องจากหลายส่วนราชการมีภารกิจเพิ่มมากขึ้นแต่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนข้าราชการได้ ระบบพนักงานราชการนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนคนทำงานได้ทันที
และสามารถลดคนทำงานได้ทันทีเช่นกันเมื่อภารกิจนั้นเสร็จสิ้นลง ถือเป็นความคล่องตัว
และยืดหยุ่น ตามหลักการบริหารราชการยุคใหม่อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. จะเชิญส่วนราชการมาให้ความคิดเห็นต่อการใช้ระบบพนักงานราชการในวันที่
2, 8 และ 9 ธันวาคมนี้ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. ”
เลขาธิการ ก.พ. กล่าวในตอนท้าย